ณ ป้ายรถเมย์สายหนึ่ง คุณป้ากำลังหิ้วผักที่ซื้อมาจากตลาด
เพื่อจะนั่งรถเมล์กลับบ้าน
เมื่อขึ้นมาบนรถ เธอพย าย ามจะเดินเพื่อหาที่นั่ง
แต่ที่นั่งก็โดนจับจองเต็มหมดแล้ว จึงไม่เหลือที่ให้เธอได้นั่ง
จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ลุกขึ้นจากที่นั่ง และพูดขึ้น
“มานั่งตรงนี้แทนผมก็ได้ครับคุณป้า”
จากนั้นคุณป้าจึงรีบไปนั่งแทนที่ทันที
แล้วคุณป้าก็เริ่มชวนคุยกับชายหนุ่ม
“หนุ่มเอ้ย อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มหันไปตอบ “ผมอายุ 29 แล้วครับ”
คุณป้ามองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“เอ๊ะ จะ 30 แล้ว ยังต้องมาขึ้นรถเมล์เบียดกับคนอื่นอยู่อีกหรอ
ลูกสาวป้าเพิ่งจะเรียนจบอายุ 22 ก็มีรถขับไปทำงานเองแล้วนะ”
แทนที่จะสำนึกในน้ำใจที่หนุ่มคนนี้มีให้ ขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี
กลับพูดจาดูถู ก เสี ยดสีชายหนุ่มที่อายุเยอะกว่าลูกสาวตัวเอง
แต่กลับไม่มีปัญญาซื้อรถขับ ไม่เหมือนลูกสาวเราเลย
เพิ่งเรียนจบก็มีงานทำ ออกรถได้เองแล้ว
ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธคุณป้าแต่อย่ างไร
กลับตอบไปเพียงว่า “อ้อ รถผมก็มีแหละครับ
แต่ผมเอาไว้ให้คุณแม่ผมใช้ดีกว่า
ผมไม่อย ากให้แม่ต้องมาขึ้นรถเมล์เบียดคนเยอะ ๆ ไปตลาด
เพราะแกก็อายุมากแล้ว ผมอย ากให้แกไปไหน
มาไหนเองสบาย ๆ น่ะครับ”เมื่อพูดจบ รถก็จาดที่ป้ายรถเมล์พอดี
และชายหนุ่มก็เดินลงจากรถจากไป
ปล่อยให้คุณป้าต้องนั่งหน้าชา ที่ถูกตอกกลับแบบไม่ไว้หน้าเธอแบบนี้
เหมือนกับกระจกสะท้อนตัวเองที่ว่า “ทำไมป้าอายุขนาดนี้แล้ว
เยอะกว่าหนุ่มคนนั้นเสี ยอีก แต่กลับยังต้องนั่งรถเมล์เหมือนกัน”
มันไม่ผิดหรอก ที่เราจะรู้สึกภูมิใจในการสร้างความสำเร็จ
อะไรสักอย่ างของชีวิตลูก
แต่เราก็ไม่ควรที่จะไปเปรียบเทียบ หรือยกตนข่ มท่านกับคนอื่น
เพื่อทำให้คนอื่นดูแ ย่ ดูถู กดูแคลน หรือด้ อยค่าคนอื่น
เพราะคนที่ดูด้ อยค่า อาจจะกลายเป็นตัวเราเองก็ได้
เหมือนอย่ างที่คุณป้าคนนี้เอาอายุของลูกตัวเองมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
ว่าอายุน้อยกว่าแต่สามารถมีรถขับ ในขณะที่หนุ่มอายุย่ าง 30
กลับยังต้องมานั่งรถเมล์ โดยที่ไม่ได้ลองดูตัวเอง
ไม่มีใครควรต้องถูกตีกรอบ หรือกำหนดว่าต้องมีอะไร ตอนอายุเท่าไหร่
เพราะทุ กคนต่างเดินบนเส้นทางชีวิตของตัวเอง และอายุก็ไม่ได้
เป็นตัวกำหนดความสำเร็จในชีวิต บางคนอาจจะร่ำร วยตั้งแต่อายุ 20
แต่บางคนอาจจะต้องล้ มลุกคลุกคลาน กว่าจะได้เป็นเจ้าของธรุกิจในวัย 50
ขอบคุณที่มา : bitcoretech