1. ขายดีแต่ไม่เคยมีกำไร
หลายคนทำธุรกิจแล้วอาจจะเกิดข้อสงสัยว่าทำไมยิ่งขายก็ยิ่งจนแม้ว่า
เราจะขายสินค้าแพงกว่าราคาที่ ซื้ อ มา แต่ไม่มีกำไรเลย
เรื่องนี้นักธุรกิจมือใหม่อาจจะพบปัญหานี้เยอะ เท่าที่สังเกตมาเป็นเพราะว่า
เรามักจะคิดแค่ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าจนลืมต้นทุน
ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการตัวอย่ างเช่น นักธุรกิจบางคนอาจจะคำนวณว่า
หากเขาขายของที่ลูกค้าสั่งทำทั้งหมดจะได้กำไร 2,000 บาท
แต่เขาอาจจะลืมไปว่ามันยังมีต้นทุนส่วนอื่น ๆ อีก เช่น ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน
ค่าแรงตัวเองและ ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางนั้น
ก็เป็นต้นทุนเช่นกัน ไป ๆ มา ๆ ต้นทุนอื่น ๆ คำนวณออกมาที่ 3,000 ไป
แบบนี้ต่อให้ขายดีแค่ไหนก็ไม่มีกำไรแน่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วเราควรสนใจ
รายละเอียดของต้นทุนทุ กอย่ างที่เกิดขึ้นอย่ างครบถ้วนและนำมาพิจารณา
ว่าเราควรจะขายสินค้าอย่ างไรให้ได้กำไร
2. ร วยดีแต่ไม่มีเงิ นหมุนเวียน
นักธุรกิจบางคนอาจจะขายของเก่งมาก มีลูกค้าสั่งหรือใช้บริการทุ กวัน
แต่พอสำรวจเ งินสดในกิจการแล้วกลับไม่พบเงิ นในกระเป๋าอย่ างที่คิด
อาจจะเป็นเพราะว่ามีการทำธุรกิจโดยให้มีเครดิตเทอมที่ย าวนานและลืมไปว่า
ตัวเขาเองก็มีหน้าที่จะต้องนำเงิ นไปชำระรายจ่ายเรื่องต่าง ๆ
เช่น ผู้ผลิตที่เราสั่งสินค้ามาขาย ค่าแรงคนงาน เงิ นเดือนลูกน้อง ค่าเช่าสถานที่ ฯลฯ
หากเราขายของแล้วเก็บเงิ นไม่ได้ซักที แถมยังมีรายจ่ายจ่อคอหอยอยู่เรื่อย ๆ
นั่นก็เท่ากับว่าเราไม่สามารถหมุนเ งินให้เกิดประโยชน์ได้และเมื่อใดก็ตามเงิ นสด
ที่มีอยู่ในมือนั้นหมดไปกลายเป็นว่าอาจต้องพึ่งพาเงิ นกู้จากที่ต่าง ๆ
จนทำให้ยิ่งทำธุรกิจเรายิ่งจนลงเพราะด อกเบี้ยจากการยืมเงิ นมาหมุนในกิจการ
แถมเป็นการสร้างผลกำไรให้กับเจ้าห นี้แทนอีกต่างหาก การบริหารกระแสเงิ นสด
จึงเป็นเรื่องสำคัญ เงิ นสดควรเก็บจากลูกค้าให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และนำ
ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงที่ในระหว่างการนำไปชำระเงิ นให้กับเจ้าห นี้
และจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
3. ไม่แยกเ งินส่วนตัวและเงิ นธุรกิจ
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่หลาย ๆ คนพลาด นักธุรกิจมือใหม่นั้นเมื่อตั้งบริษัทขึ้นมา
อาจจะมีความเข้าใจผิดหรือแยกไม่ออกในเรื่องเ งินบริษัทและเงิ นส่วนตัว
เมื่อขายของได้ก็นำเงิ นไปจับจ่ายใช้สอยเพราะคิดว่าได้เงิ นได้กำไรมา
แล้วเอาไปสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ทั้งหมด แต่กลายเป็นว่านำเงิ นบริษัท
ไป ซื้ อ ของ เที่ยวต่างประเทศ จ่ายค่าเทอมลูก และพอถึงจุด ๆ หนึ่งก็จะพบว่า
เงิ นทุนในกิจการนั้นหายไป และ อาจจะโ ชค ร้ า ย กว่านั้น
เมื่อถูกสรรพากรตรวจสอบรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นของบริษัท เมื่อไม่สามารถแจ้ง
ที่มาที่ไปของเ งินบริษัทที่หายไปได้การทำธุรกิจควรจะแยกกระเป๋าเงิ น
ของกิจการออกจากเงิ นส่วนตัวของเรา
ธุรกิจมีรายรับรายจ่ายอะไรก็ควรบันทึกเอาไว้ว่าปัจจุบันมีเ งินเหลือเท่าไหร่
และควรนำเ งินไปทำอะไรเพื่อให้บรรลุความสำเร็จของธุรกิจ
ในส่วนของเ งินส่วนตัวนั้นเราจะได้มาในฐานะลูกจ้างของกิจการ เช่น ค่าจ้างหรือเ งิน
ควรแยกทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อวางแผนสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ให้ใช้จ่ายตามที่มีเหลือก็เก็บออมและนำไป ล ง ทุ น ต่อเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ
ทางการเงิ นส่วนตัวได้ต่อให้ขายดีแค่ไหนถ้าแยกเงิ นส่วนตัว
ออกจากเ งินของกิจการไม่ออกก็ทำให้เจ๊งได้เช่นกันครับ เพราะฉะนั้นแล้วการสร้างระบบ
เพื่อตรวจสอบเ งินท องทั้ง 2 กระเป๋าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักธุรกิจไม่ควรพลาด
ขอบคุณที่มา : jingjai999