1. หาคนที่เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานให้เจอ
ความแต กต่างระหว่าง “เพื่อน” กับ “เพื่อนร่วมงาน” คืออะไร…? ที่เค้าบอกว่ายิ่งโต
ยิ่งหาเพื่อนย า กก็คงจะจริงสมัยประถม การหาเพื่อนใหม่ไม่ย า กเท่าสมัยมัธยม และ
การหาเพื่อนในสมัยมัธยมก็ไม่อย า กเท่าตอนเข้ามหาวิทย า ลัย
มันแปลว่ายิ่งเราโตขึ้นเท่าไหร่ เราจะหาเพื่อนย า กขึ้นเท่านั้น และไม่ต้องบอกเลยว่า
การหาเพื่อนที่จริงใจคนนึงในออฟฟิศมันย า กแค่ไหน นอกจากจะมีเรื่องผล
ตอบแทน ทั้งตำแหน่ง เงิ นเดือน การประเมิน เข้ามาเกี่ยวด้วย
หน้าที่หลักของมนุษย์เงิ นเดือนอย่ างเราคือไปทำงานไม่ได้ไปทำกิจกร รมสานสัมพันธ์
หาเพื่อน ดังนั้นวัน ๆ เราจึงจะเจอแค่เพื่อนร่วมทีม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการคุยกัน
แค่เรื่องงานเท่านั้น การมีทีมที่อยู่ด้วยแล้วสนิทใจแบบนี้ เราคิดว่ามันคือกำไรชีวิต
พย า ย า มหาคนเหล่านี้ให้เจอในสังคมการทำงาน แล้วเราจะอย า กไปทำงานมากขึ้น
ให้เราลองถามตัวเองว่า “ถ้าเราลาออกจากที่นี่ เรายังจะอย า กนัดคนนี้กินข้าวอยู่ไหม…?”
ถ้าคำตอบคือใช่ ยินดีด้วย คุณเจอเพื่อนจริง ๆ ในที่ทำงานแล้ว
2. มีแฟนในที่ทำงานได้แต่ต้องยอมรับผลที่ตามมา
ถ้าคุณเป็นคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก แนะนำว่าอย่ ามีแฟนในที่ทำงาน
ไม่ได้บอกว่าไม่ควรคบคนในที่ทำงาน แต่ถ้าคบแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้
อาจต้องเจอเหตุการณ์
เช่น ทะเลาะกับแฟนมาแล้วต้องมาคุยงานกัน มีใครบ้างแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน
ออกจากงานได้ 100% บ้าง
ถ้าไม่ต้องเจอหน้ากันทุ กวันหรือทำงานใกล้ชิดก็ยังพอโอเค
แต่ถ้าทีมเดียวกันอาจจะเหนื่อยหน่อย ทะเลาะกันขึ้นมาเมื่อไหร่รู้ทีค่อนบริษัท
3. เล่นการเมืองกับทุ กคน
เล่นการเมืองกับทุ กคนไม่ได้หมายความว่าให้เราไม่จริงใจกับใคร แต่การเล่นการเมือง
กับทุ กคนคือ..การที่เราดูว่าคนนี้เป็นคนยังไง จะเข้ากับเขาได้อย่ างไร
ไม่ได้บอกว่าให้สตอเบอร์รี่ หรือฝืนตัวเองมาก ๆ นะ
แต่แต่ละคนเขาก็มีพื้นฐานนิสัย ความชอบ โตมาในสังคมที่แต กต่างกัน การที่เราดูแล้วรู้ว่าจะ
“อยู่ร่วมกับเขาแบบเป็นมิตร”ได้อย่ างไรจะทำให้เราได้เปรียบมาก ๆ นอกจากวางตัวง่ายแล้ว
เราจะไม่มีศั ต รู เคสนี้รวมถึงบางคนที่ดูแล้วไม่ถูกจริต กัน
การวางตัวกับเขาก็คือเฉย ๆ ทักทายสวัสดีตามมารย า ท ไม่จำเป็นต้องไปคุยก็ไม่ต้องคุย…
เราไม่รู้หรอกว่าวันนึงโลกจะเหวี่ยงเราเข้าไปทำงานกับใคร เพราะฉะนั้น อย่ าสร้างศั ตรูเด็ดข าด…!!!
4. สนใจแต่อย่ าใส่ใจลู่วิ่งคนอื่น โฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา
เมื่อทำงานไปนาน ๆ เราอาจเห็นเพื่อน ๆ ในที่ทำงานของเราหลายคนเริ่ม ออกไปเรียนต่อ
สร้างครอบครัวบางคนเปลี่ยนงานไปงานที่เ งินเดือนสูงสุด ๆ บางคนเริ่มธุรกิจของตัวเอง
ไอคนนั้นคนนี้ได้ดิบได้ดี
แล้วตัวเราล่ะทำอะไรอยู่ จงจำไว้ว่าอย่ าเอาจังหวะชีวิตของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เด็ดข าดโฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร รู้ว่าปลายทางเราต้องการอะไร
รู้ว่าวันนี้เราทำดีกว่าเมื่อวานแล้วหรือยังก็เพียงพอแล้ว แอบมองลู่วิ่งคนอื่นบ้างเป็นบางครั้ง
เพื่อเป็นแรงผลักดันตัวเองให้พย าย ามมากขึ้น แต่อย่ าเอามาเปรียบเทียบจนทำให้
ตัวเองทุ กข์
5. จงเป็น “ลูกจ้างมืออาชีพ”
ถ้าอย า กเป็นมนุษย์เงิ นเดือนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุข จงเป็น “ลูกจ้างมืออาชีพ”
ให้ได้ลูกจ้างมืออาชีพก็คือคนที่ตระหนักได้ว่า “เราถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง”
นั่นหมายความว่าบริษัทเค้าต้องการอะไรบางอย่ างจากเราแลกกับค่าตอบแทนนั้น ๆ
เราต้องรู้ว่าบริษัทจ้างเรามาทำอะไร และทำมันให้ดีกว่าที่บริษัทคาดหวังหากต้องการ
ความก้าวหน้าในหน้าที่
หากงานที่ทำอยู่รู้สึกว่าไม่ตรงกับ skill หรือ passion ของเรา ก็ไม่ควรอดทนทำไป
ควรจะหางานที่เราทำแล้วเรามีความสุขและทำได้ดีเพื่อดึงศักยภาพของตัวเองออกมา
ให้มากที่สุด
นอกจากจะทำให้เราเติบโตในองค์กรแล้ว ยังทำให้เราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่เบื่อด้วย
แต่ก็ไม่ได้จะเชียร์ให้เป็นคนเหยี ยบขี้ไก่ไม่ฝ่ อนะ อดทนทำไปจนถึงจุดหนึ่ง
เราจะรู้เองว่าควรไปทางไหนต่อ รีบหาสายงานที่ใช่ให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วเราจะเป็น Expert
ได้เร็วกว่าคนอื่นอายุเท่านี้ไม่ต้องกลัวการลาออก จะลาออกกี่ครั้งก็ได้ ถ้าในที่สุดเราเจอ
สายอาชีพที่เรารักและอย ากทำ จะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก
และ ด้วยคอนเซ็ปท์เดียวกัน “เราถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง” อย่ าทำงานหนัก
เกินกว่าค่าตอบแทนจนเกินไปทุ่มเทได้ แต่ต้องมีผลลัพธ์ที่ดีตามออกมาด้วย
เช่นได้ปรับเ งินเดือน ได้ประเมินดี
หาเวลาอยู่กับพ่อแม่ ญาติ ๆ บ้าง หันกลับไปมองข้างหลังบ้างว่าคนที่เป็นบันไดให้เรามายืนจุดนี้
ตอนนี้เค้าเป็นยังไงกันบ้ า งนะ? อย่ าลืมว่าพ่อแม่แ ก่ลงทุ กวัน ดูแลสุ ข ภ า พ ท่านด้วย
ถ้าเดือนไหนมีเงิ นเหลือก็ตรวจสุ ข ภ า พ ให้ท่านแล้วหาเวลาไป มันไม่ลำบากหรอก
แลกกับความสุขของพ่อแม่
6. อย่ าเป็นตัวของตัวเองเกินไปในโลกออนไลน์
หลายคนเชื่อว่าโลกออนไลน์เป็นพื้นที่ส่วนตัว จะโพสต์อะไรมันก็สิทธิ์ของเรา แต่รู้รึเปล่าว่า HR
สมัยนี้นอกจากจะดู resume เราแล้ว ยังดูเฟสของเราด้วย เพื่อนเราที่เป็น HR
ยืนยันมาว่าหน้าเฟสบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราได้มากกว่า
Resume เป็นสิบเท่า สิ่งที่เราโพสลงบนโลกออนไลน์ของเรานั้นมีผลกับเราตั้งแต่ก่อนเข้างานซะอีก
เมื่อเราเป็นมนุษย์เงิ นเดือนเต็มตัว เรื่องพวกนี้ยิ่งต้องระวั ง หรือ
ถ้าอย า กมีพื้นที่ส่วนตัวจริง ๆ แนะนำให้แยกเฟสที่ทำงาน กับ เฟสส่วนตัวเลย แล้วปิดสาธารณะด้วย
ยิ่งเรื่องดร าม่าในที่ทำงาน เกลีย ดคนนั้น เบื่องาน หัวหน้างี่เง่า ห้ามโพสต์เด็ดข าด
โพสต์ปุ้บมีคนแคปไปฟ้องแน่นอน
ขอบคุณที่มา : jingjai999