ข้อที่ 7 – คนร วยเชื่อว่า ฉันเป็นคนลิขิตชีวิตของตนเอง
คุณอาจจะเคยเห็นคนร วยซื้อล็อตเตอรี่บ้างเป็นบางครั้งบางคราว และบางที
ก็เห็นซื้อเป็นปึ๊ก ๆ นับสิบใบซึ่งพวกเขาซื้อเพื่อความสนุก
และความบันเทิงเท่านั้น เพราะหากไม่ถูกรางวัลก็ไม่ได้มีผลกระทบกับ
คุณภาพชีวิต ณ ตอนนี้แต่นั่นมันต่างกันลิบลับกับคนทั่วไป
ที่ซื้อล็อตเตอรี่ เพื่อที่จะหวังว่า ตรูต้องร วยแน่ ๆ หากถูกรางวัลที่ 1
ฉันจะ ซื้ อ บ้าน ซื้ อ รถ ไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเอาเข้าจริง
การที่ใครสักคนหนึ่งจะถูกรางวัลที่ 1 นั้น มีโอกาสที่จะถูกน้อยมาก ๆ
ซึ่งมีโอกาสเพียง 0.0001% เท่านั้น ซึ่งหากคุณต้องการที่จะถูกรางวัลที่ 1 แบบ 100%
นั่นก็คือ คุณจะต้อง ซื้ อ ล็อตเตอรี่จำนวน 1 ล้านใบ! หรือคิดเป็นเงิ น 80 ล้าน
ซึ่งคุณมีโอกาสที่จะได้รางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้านบาทอย่ างแน่นอน
แต่ในขณะที่คนร วยนั้นพวกเขาเชื่อว่า การที่พวกเขาจะมีบ้าน มีรถ ไปท่องเที่ยว
ต่างประเทศ มีเ งินเก็บเป็นล้านได้นั้นพวกเขาจะต้องสร้างให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ได้
ด้วยลำแข้งของตนเองให้ถึงที่สุด
และข่าวดีก็คือ มหาเศรษฐีบนโลกใบนี้กว่าร้อยละ 80 เป็นคนที่สร้างฐานะขึ้นมา
ได้ด้วยตนเองโดยไม่ได้รว ยมาจากมรดกต กทอดด้วยซ้ำ
ดังนั้น จงเชื่อเถอะว่า คนธรรมดา ๆ อย่ างเรา ๆ ก็สามารถเป็นคนร วยได้เช่นกัน
ข้อที่ 6 – คนร วยคิดว่าการเกิดมาจนนั้นไม่ผิด แต่ผิดแน่ ๆ หากคุณต าย ทั้ง ๆ ที่ยังจนอยู่
คนที่ยังไม่ร วย หลายคนมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับเงิ นสักเท่าไหร่นัก เช่น คนร วยเป็นคนเห็นแ ก่ตัว
คนร วยเป็นคนเ ลว คนร วยเป็นคนแล้งน้ำใจ เ งินทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนชั่ วร้ าย
เงิ นเป็นสิ่งที่หากใครมีแล้วจะกลายเป็นคนไม่ดี ซึ่งการคิดแบบนี้ไม่ช่วยให้คุณร วยขึ้นมาได้เลย
เพราะเปรียบง่าย ๆ ว่า หากคุณบ่นไม่ชอบหมาแมว แน่นอนว่าคุณก็จะไม่เลี้ยงพวกมัน
หรือพวกมันก็จะไม่เข้าใกล้คุณเช่นกัน
หากคุณเกลียดเงิ นหรือมีทัศนคติที่ไม่ดีกับเ งิน พวกมันก็จะไม่เข้าใกล้คุณเช่นกัน จริง ๆ แล้ว เงิ นนั้น
เปรียบเสมือนเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้คน ๆ นั้น สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ซึ่งหากเงิ นมันไปอยู่ในมือของคนไม่ดี
คนนั้น ๆ ก็จะทำสิ่งชั่ วร้ ายที่มีผลกระทบต่อผู้คนอย่ างมากมาย แต่ในขณะที่หากเงิ นนั้น ไปอยู่มือของคนดี
พวกเขาก็จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับโลกนี้ได้อย่ างมากมายมหาศาล เช่นกัน ดังนั้น คุณจะสังเกตเห็นได้ว่า
เงิ นเปรียบเสมือนเป็นเครื่องขย ายเสี ยงต่างหาก ส่วนจะดีจะชั่ วนั้น มันอยู่ที่ตัวบุคคล
หากคุณสังเกตจากมหาเศรษฐีที่ร่ำร วยอันดับต้น ๆ ของโลกอย่ าง Bill Gates และ Warrent Buffet นั้น
เป็นคนที่ใจบุญเป็นอย่ างมาก พวกเขาร่วมใจกันบริจาคเงิ นของตัวเองกว่า 80%-90% ให้แ ก่องค์กรการกุศล
ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนบนโลกใบนี้ได้นับล้าน ๆ ชีวิต เพราะหากคุณไม่ร วย
คุณจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้เพียงหยิบมือแต่ในขณะที่หากคุณเป็นคนร วยนั้น คุณจะสามารถ
ช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายเลยทีเดียว
ข้อที่ 5 – คนร วยเป็นคนที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
คุณคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว พวกเขาจะไม่สามารถพัฒนาหรือเติบโต
ได้อีกต่อไปแล้วเพราะพวกเขาคิดว่า ตนเองนั้น รู้ไปหมดทุ กสิ่งทุ กอย่ างแล้วบนโลกใบนี้ ในโลก
นี้ฉันเก่งที่สุด เจ๋งที่สุด
ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว แต่ในขณะที่คนรว ยนั้น ทำตัวเองให้เป็นนำครึ่งแก้ว เพื่อรองรับ
ความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอพวกเขาเก่งในเรื่องของการถามและการฟัง
เพราะเมื่อเริ่มต้นด้วยคำถามที่ดี คุณจะได้คำตอบที่ดีเสมอและการรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่
สำคัญกว่าการที่เก่งแต่พูดแล้วไม่ฟังใครเลย ในโลกนี้เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า
คนรุ่นใหม่ ๆ ย่อมเก่งกว่าคนรุ่นเก่า ๆ อยู่เสมอ อย่ าได้ดูแคลนพวกเขา แต่จงเรียนรู้จากพวกเขา
แล้วนำเอามาปรับใช้กับชีวิตเราให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ข้อที่ 4 – คนรว ยโฟกัสที่การลงทุน ไม่ใช่การออมเ งิน
คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่า หากไม่กินกาแฟสตาร์บัคเลยตลอดชีวิต คุณอาจจะมีเงิ นเก็บเป็นล้าน
ซึ่งคุณอาจจะแ ก่เกินไปจนไม่มีโอกาสได้ใช้เ งินก้อนนี้
หรือเ งินก้อนนี้ในอนาคตนั้นโดนเ งินเฟ้อเล่นงานซะจนมูลค่าลดฮวบจริงอยู่ว่า การออมเงิ น
เป็นเรื่องที่ดี แต่หากตอนนี้คุณยังไม่ร วย นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้มีปัญหาในการออมเ งิน
แต่คุณกำลังมีปัญหาในการหาเ งินต่างหาก เพราะถ้าคุณยังมีรายได้น้อย ๆ อยู่ ต่อให้คุณออมเงิ น
เดือนละ 99%มันก็ไม่ทำให้คุณร วยขึ้นมาได้ ดังนั้น หากยังไม่ร วย
จงโฟกัสไปที่การสร้างรายได้ก่อนแล้วจากนั้น ให้ศึกษาเรื่องการออมเ งินและการใช้เงิ น
แล้วหลังจากนั้น จงนำเ งินไปลงทุนเพื่อให้มันงอกเงยขึ้น
ข้อที่ 3 – เมื่อล้ มเหลว คนร วยจะไม่กล่าวโ ทษคนอื่น พวกเขาจะรับความล้ มเหลวนั้นเอาไว้เอง
คุณคงเคยได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า เมื่อเกิดเรื่องอะไร แ ย่ ๆ คนเรานั้น สามารถโ ทษทุ ก
สิ่งทุ กอย่ างบนโลกใบนี้ได้หมดไม่ว่าจะเป็น โ ทษเพื่อน โ ทษพ่อแม่พี่น้อง
โ ทษเพื่อนร่วมงาน โท ษหัวหน้า โ ทษหมาแมว โท ษฝนฟ้าอากาศแม้แต่โ ทษในเรื่องนอก
โลกอย่ างด วงดาว โ ชคชะตา ก็ยังโ ทษได้ แต่สิ่งเดียวที่จะไม่โ ทษก็คือ “ตัวเอง”
นั่นทำให้ เมื่อเกิดเรื่องร้ าย ๆ ขึ้นมา หากเราไม่เห็นว่าตัวเองผิด เราก็จะไม่ทำการพัฒนาตนเองให้มันดี
เพราะคิดว่าตนเองดีอยู่แล้ว แต่คนอื่นต่างหากที่ไม่ดี ดังนั้น สิ่งที่คนร วยทำก็คือ
พวกเขานั่งคิด วิเคร าะห์ แยกแยะว่า เพราะอะไร ทำไมจึงเกิดเรื่องผิ ดพลาด ล้ มเหลว ขึ้นมาได้
แล้วจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้อย่ างไร ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ าย ๆ ซ้ำขึ้นอีก
ข้อที่ 2 – รายได้ของคนร วยมาจากผลลัพธ์ที่สร้างขึ้น
ในระบบการศึกษาเราถูกสั่งสอนมาให้เรียนจบสูง ๆ แล้วหางานดี ๆ ทำ เพื่อที่จะได้เงิ นเดือนสูง ๆ
แต่หากใครที่เข้าสู่การทำงานประจำมาแล้วจะพบว่า ในหลาย ๆ ครั้ง แม้ว่าเราจะทุ่มเท ขยัน
เหน็ดเหนื่อย หลั่งเ ลือดมากแค่ไหนก็ตาม คุณก็ยังคงได้เ งินเดือนเท่าเดิมอยู่ดี
แต่ในขณะที่คนร วยนั้น ได้ค่าตอบแทนตามผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างผลกระทบขึ้นต่อผู้อื่น
ยิ่งส่งผลกระทบในด้านบวกแ ก่ผู้คนได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้รายรับมากเท่านั้น
ซึ่งในฐานะที่คุณเป็นพนักงานออฟฟิศก็สามารถทำได้ ไม่จำกัดที่การเป็นผู้ประกอบ
การเพียงอย่ างเดียว
เช่น ในตำแหน่งนักขาย ที่มีทั้งเงิ นเดือนและค่าคอมมิชชั่น ซึ่งนักขายโดยปกติแล้ว
จะได้เงิ นเดือนน้อยมาก เพื่อเป็นกลไกผลักดันให้นักขายนั้น ต้องขายของให้ได้เยอะที่สุด
และค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนแบ่งที่ได้จากการขายนั้น จะมีมูลค่าที่สูงกว่าปกติ
เป็นเป็นแรงจูงใจให้นักขายมุมานะในการทำยอดขายให้ได้สูง ๆ
ในส่วนของผู้ประกอบการนั้น หลายคนหลงผิด คิดว่า สินค้าหรือบริการที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้น
จะนำพาให้ร วยขึ้นมาได้ แต่เมื่อป้อนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด กลับพบว่า ไม่มีใคร
ซื้ อ เลยหรือ ซื้ อ น้อยมาก
แล้วก็จะมานั่งบ่นมา ของเราดีขนาดนี้ ทำไม่คนไม่ ซื้ อ เป็นเพราะผู้คนแต่ละคนโดยธรรมชาตินั้น
พวกเขาสนใจแต่ตัวเองเท่านั้น เขาไม่สนหรอกว่า คุณจะผลิตสินค้าได้ดีแค่ไหน พวกเขาแค่สนใจว่า
สินค้าหรือบริการนั้น สามารถช่วยให้คุณภาพชีวิตของพวกเขา ดีขึ้นได้ยังไง
หรือช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาได้ยังไงต่างหาก ดังนั้น ยิ่งคุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหา
ให้ผู้คนได้มากเท่าไหร่ รายได้คุณก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ข้อที่ 1 – คนร วยชอบอ่ านหนังสือ
สิ่งที่จะดึงดูดเวลาให้คุณไม่มีเวลาไป อ่ านหนังสือก็คือ การรับชมภาพยนตร์ ทีวี ซีรี่ย์
ที่หากเผลอดูไปแล้วบอกได้คำเดียวว่า “ย าวววว” ซึ่งนั่นมันจะดูดเวลาในชีวิตคุณให้หายไป
จนทำให้ไม่มีเวลาไปทำในสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า อย่ างเช่น การหาความรู้เพิ่มเติมในสายอาชีพ
ของคุณหรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่จะนำพาชีวิตของคุณไปสู่เส้นทางที่ดีขึ้น
คำถามสำคัญก็คือ มีหนังสือกี่เล่มที่คุณอ่ านไปแล้วในปีนี้?
ขอบคุณที่มา : jingjai999