ระยะทางเมื่อย าวไกลจะสามารถรู้ถึงกำลังของม้าว่าเป็นอย่ างไร…
คนเราเมื่ออยู่ด้วยกันนานจะสามารถเห็นถึงธาตุแท้หรือความจริงใจของเขา… ลู่เหย า กับหม่าลี่
เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน “ลู่เหย า” มีศักดิ์เป็นพี่เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
“หม่าลี่” เป็นผู้น้องยังไม่ได้แต่งงาน ลู่เหย ามีฐานะย ากจนขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำร วย
ด้วยเหตุนี้ ลู่เหย าจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอวันหนึ่ง
ลู่เหย าบอกหม่าลี่ว่าตนเองต้องการไปแสวงโ ชคต่างเมือง อย ากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแล
ภรรย าให้ หม่าลี่รับปากบอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล ตั้งแต่นั้นมาทุ กครึ่งเดือน
หม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้นำของกินของใช้บรรทุ กใส่รถม้าเต็มคันรถ นำไปให้
กับภรรย าของลู่เหย า ภรรย าของลู่เหย าจึงคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เล ว
ได้รับการโอบอุ้มดูแล ยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสี ยอีกไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่
ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วมสาบานที่ดีเช่นนี้ครึ่งปีผ่ านไป เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
คนรับใช้ของหม่าลี่ ไม่ได้นำของไปให้ภรรย าของลู่เหย าอีกแล้ว
ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ภรรย าของลู่เหย า
จึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้ เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุ กอย่ างถูกขายจนหมด
นางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเองเนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมา
ตั้งแต่เด็ กนางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย
อาจเพราะว่านางมีฝีมือดีหรือชาวบ้านต่างสงส ารนางก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาวบ้ านพากัน
แ ย่งซื้ อ รองเท้าของนางจนขายหมดเกลี้ยงทุ กวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
พริบตาเดียว ๑๐ ปีผ่ านไปลู่เหย าก็กลับมาในคืนหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป
หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรย าของตนและส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้น
ก็ไม่ได้ส่ง ของกินของใช้มาให้ภรรย าของตนอีกเลยเขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
“คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุ กอย่ างก็เปลี่ยนไป” เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหย ากลับมา
จึงส่งคนไปเชิญ มาเลี้ยงต้อนรับ แต่ลู่เหย าปิดประตูไม่รับแขกหม่าลี่จึงไปเชิญลู่เห าด้วยตนเอง
เขาคุ กเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหย าจำใจต้องไปที่บ้ านของหม่าลี่
ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหย าต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรย าของตน
ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปานหม่าลี่จึงพาลู่เหย าเข้าไปที่สวนด อกไม้หลังบ้ าน
เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่งออกและเชิญลู่เหย าเข้าไป…ลู่เหย าต กตะลึงจนตาค้าง
เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมดลู่เหย าเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออก
จากประตูด้วยความละอายใจและก้มลงคุ กเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้ านของหม่าลี่
หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหย าลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น
ข้าไม่เคยลืมเลย แต่นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุน
จุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์แต่อีกใจก็คิดว่า เมื่อนางได้มีกินมีใช้
อย่ างสุขสบาย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรอาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหาให้นางเสี ยชื่อเสี ยงแล้วหากท่านกลับมา
ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่ างไร แต่ก็น่านับถือที่พี่สะใภ้รู้จักทำมาหากินด้วย
ความสามารถของนางเอง สมกับที่ข้าได้ตั้งใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้ อ รองเท้าที่นางทำขาย
ทุ กครั้งไป” ลู่เหย าได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นานสักพัก
จึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “ลู่เหย า (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่ (กำลังของม้า)
ก าลเวลาพิสูจน์ใจคน” คำกล่าวจีนที่ว่า “หนทางไกลพิสูจน์ม้า ก าลเวลาพิสูจน์คน”
จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณานี้มองเห็นว่า “การที่เราจะรู้
อุปนิสัยใจคอของใครอย่ างแท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานาน
พอสมควรแล้วนั่นเอง” เมื่อได้อ่ าน แล้วรู้สึกชอบเรื่องราว ของลู่เหย าและหม่าลี่
ทำให้มาคิดว่า…บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้นการจะทำความดี ต้องทำอย่ างอดทน
ต้องทำอย่ างลึกซึ้ง ต้องทำอย่ างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนไม่ต้องหวังว่า
ทำดีกับคนอื่นแล้วเขาจะต้องดี ตอบกับเรามิเช่นนั้น เราจะทุ กข์ใจหากไม่ได้การตอบแทน
ตามที่หวังไว้แม้คนอื่น อาจเข้าใจผิดว่า เราไม่ได้ทำอะไรเปรียบเสมือนผู้ที่
ปิดท องหลังพ ระแม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง
มองเห็นความดีที่เราทำ…แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว
ขอบคุณที่มา : kaeyim