วันหนึ่งในป่าแห่งใหญ่ มีแม่เสือพาลูกเดินสำรวจดูบริเวณรอบ ๆ เมื่อเหล่าสัตว์อื่น ต่างก็ถอยออกห่าง ๆ
ลูกเสือจึงถามแม่ว่าแม่จ๋า ๆ ..ทำไมแม่ไม่ค่อยมีเพื่อนเลย พอเราโตขึ้นแล้ว เราจะไม่มีเพื่อนเหรอ ?
แม่เสือเลยตอบว่า “ไม่หรอกจ๊ะลูก” เมื่อเราโตขึ้นเราจะเหลือคนที่รักเราจริง ๆ ต่างหาก
เราจะมีเพื่อนมากที่คุณภาพ ไม่ได้มากที่จำนวน ก าลเวลาจะคัดสรรคนที่เหมาะสมไว้กับเรา
ถ้าเป็นมิตร ก็จะเป็นมิตรที่มีคุณภาพและรักเรา
ถ้าเป็นศัตรูก็จะเป็นศัตรูที่ผลักดันให้เราต่อสู้ เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า
ลูกเสือถามต่อ “แล้วถ้าหนูโตขึ้น แม่จะไม่ทิ้งลูกไปไหนใช่ไหม ?”
แม่เสือตอบว่า เมื่อวันหนึ่งลูกเลือกทางเดินได้เองแล้วแม่ก็ยังจะคอยอยู่ข้าง ๆ ลูกเหมือนเดิม
แต่เมื่อลูกโตขึ้น ลูกก็ต้องหาใครสักคน มาเดินข้างกาย แม่ก็จะถอยมาวิ่งข้างหลังแต่ยังคงเฝ้ามองลูก
จนวันหนึ่งที่แม่วิ่งไม่ไหว แม่ก็จะหยุด แล้วมองดูลูกเดินต่อไป หรือจนวันหนึ่ง
วันที่แม่ต้องจากหนูไป แต่แม่ก็จะยังวิ่งอยู่ในใจของลูก..ตลอดก าล
วันนั้นลูกจะเข้าใจว่าชีวิต คือ การก้าวเดินไปข้างหน้า
แต่ลูกจงจำไว้ว่า..การก้าวเดินอย่ างมีคุณค่า เราต้องไม่ลืมคนข้าง ๆ คนที่คอยเคียงข้างเรา
หรือแม้แต่คนข้างหลัง เพราะนั่นคือพลังทั้งหมด ที่คอยผลักดันให้ลูกก้าวไปด้วยตัวลูกเอง
ยิ่งโต..ยิ่งเดินลำพังมากขึ้น ยิ่งสูงขึ้น..ยิ่งรู้ว่าคนที่เดินร่วมทางมากับเรา ค่อย ๆ หายไปทีละคน
สุดท้ายเราจึงพบว่าเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ คือ “ตัวเราเอง” ลูกต้องมองคนให้เป็น
แยกให้ออกระหว่าง “มิตรภาพกับผลประโยชน์”
ต่อให้เป็นคนโปรด “หมดประโยชน์” เขาก็ไม่เอา
สิ่งที่หาย ากที่สุดก็คือ ความจริงใจ นี่แหละ
น้ำทะเล อาจทำให้รอยเท้าของเรา จางหายไปแต่น้ำทะเล ไม่อาจทำให้เราลืมว่า..
“เรามาจากไหนและมากับใครหรอกนะ”
แม่เสือตอบ พร้อมส่งยิ้มพลาง ๆ ด้วยความรักที่อบอุ่นอย่ างเปี่ยมล้นให้ลูกเสือ
แต่..ลูกเสือไม่ตอบอะไร กลับก้มหน้าเดินช้าลง แม่เสือสงสัยจึงถามว่า “ทำไมเดินช้าจัง”
ลูกเสือเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานไป ก่อนตอบว่า “หนูก็อย ากมีเวลาเดินกับแม่ให้นาน ๆ ไง”
ขอบคุณที่มา : noonna