ครั้งหนึ่ง “สมเด็จพระพุฒาจารย์” (โต พรหมรังสี) เคยบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการได้เห็นพลานุภาพของ
“การสวดมนต์” ต่อหน้าต่อตา
เรื่องของเรื่องก็คือ สมัยที่สมเด็จโตเดินทางธุดงค์ไปในป่าเป็นเวลาสิบห้าปีตามลำพังนั้น ท่านได้ปักหลักปฏิบัติธรรม
อยู่ในเขตดงพญาไฟอันเป็นอาณาบริเวณที่อยู่ใกล้ชายแดนประเทศเขมร ซึ่งในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ ภูตผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีวิชาอาคม รู้เรื่องเวทมนตร์คาถา และนิยมเล่นคุณไสย
ตอนนั้นสมเด็จโตท่านยังไม่มีความรู้เรื่องวิชาอาคมใด ๆ เลย นอกจากบทสวดสามคำนี้
ที่ท่านระลึกนึกถึงเพื่อเป็นที่พึ่งในจิตใจอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือ
“พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
ซึ่งมีความหมายว่า “ข้าพเจ้าขอยึดมั่นพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง… พระธรรมเป็นที่พึ่ง… พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง”
[สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)]
ระหว่างการปักหลักปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น สมเด็จโตบังเอิญเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น ท่านจึงได้ปักกลด
พำนักอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านเห็นว่ามีพระธุดงค์มาปักกลดในหมู่บ้านก็เลยพากันนำอาหารมาถวายตามกำลังที่พอจะทำได้
และที่นี่เองที่สมเด็จโตได้พบกับคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์
เรื่องมีอยู่ว่า มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยกับสมเด็จโตหลังจากถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านคนนั้นทราบชื่อภายหลังว่า “ผล”
นายผลเล่าให้สมเด็จโตฟังว่า เขาได้ฝึกฝนวิชาอาคมจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาที่ได้ร่ำเรียนมา
กับพระธุดงค์ที่มาปักกลดแถวนี้อยู่เป็นประจำ
คุยไปคุยมา นายผลก็สารภาพว่า เขาได้ทำการเสกอำนาจคุณไสยเข้าใส่สมเด็จโตทุกคืนโดยไม่ได้หวังทำร้าย (เพราะเกรงว่าจะเป็นบาปเป็นกรรม)
เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าท่านจะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถพอที่จะต่อกรกับพลังคุณไสยของเขาได้หรือไม่
นายผลเล่าว่า เขาทำคุณไสยใส่สมเด็จโตนานถึงเจ็ดวันเต็ม ๆ และทำแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเสกหนังควายเข้าท้อง
ปล่อยควายธนู ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูตพราย เข้ามาทำร้ายท่าน แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ปล่อยมานั้นไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย
เหตุที่นายผลเข้ามาคุยกับสมเด็จโตในวันนั้นก็เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับท่าน ท่านจึงยอมรับว่าตัวท่านเองไม่เคยศึกษา
เรื่องเวทมนตร์คาถาหรือวิชาอาคมใด ๆ แต่นายผลไม่ยอมเชื่อ หาว่าท่านโกหก เพราะถ้าหากไม่มีวิชาดีแล้วไซร้…ไฉน
อำนาจคุณไสยดำมนตร์ดำที่เขาใช้จึงไม่สามารถทำอะไรท่านได้แม้แต่น้อย
สมเด็จโตพยายามชี้แจงว่าท่านไม่มีวิชาเหล่านั้นจริง ๆ ก็ยิ่งทำให้นายผลสงสัยหนักเข้าไปอีก
ในที่สุด สมเด็จโตก็เล่าให้นายผลฟังว่า ก่อนจำวัด ท่านจะสวดมนต์สั้น ๆ แค่สามคำว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
จนกระทั่งจิตมีความสงบนิ่งแล้วจึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายว่า “จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย” จากนั้นท่านก็จำวัดตามปกติ
นายผลเมื่อได้ฟังเช่นนั้นจึงพูดกับสมเด็จโตว่า
“ข้าแต่ท่านอาจารย์… ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องท่านในวันนี้…ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สักหนึ่งคืนได้หรือไม่?
ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองท่าน หรือจะเป็นเพราะอำนาจเวทมนตร์คาถาของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าจะไม่ทำอันตรายท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด … เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น”
สมเด็จโตก็ตกลงรับปากว่าคืนนี้จะไม่สวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป
ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ สมเด็จโตก็จำวัดโดยมิได้ทำการสวดมนตร์ตามที่ได้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร หลังจากนอนหลับไปแล้ว
ท่านก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ดังขึ้นมา ทันทีที่จุดเทียนจนสว่าง ท่านก็พบว่าเป็น “ตะขาบ” ตัวใหญ่ยาวเท่าขา กำลังเลื้อยเข้ามาใกล้ท่าน
สมเด็จโตตกใจมาก และด้วยสัญชาตญาณจึงได้กล่าวคำสวดมนต์ว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
ด้วยจิตที่ยึดเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง
เป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้… เสียงกุกกักและภาพตะขาบยักษ์ก็อันตรธานหายไป
วันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาสมเด็จโตแล้วบอกว่า
“เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดของท่าน”
สมเด็จโตเล่าว่า
“อาตมาตื่นมาและตกใจจึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็หายไป”
นายผลจึงได้ยกมือขึ้นพนมแล้วกล่าวว่า
“บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า เวทมนตร์คาถาและคุณไสยใด ๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้
ก็เพราะอำนาจแห่งการสวดมนต์ของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่าง ๆ ได้”!!
เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้
ขอบคุณ kubkhao