ในยุคที่คนในสังคมมีการแข่งขันสูง ชิงดีชิงเด่นกันมากมาย
ทุ ก คนต่างเห็น แ ก่ ตัวกันมากขึ้นพร้อมที่จะทำ ทุ ก อ ย่ า ง
เพื่อตัวเอง และ เอาเปรียบคนอื่นใน ทุ ก ครั้งที่มีโอกาส
ดั่งเรื่องราวของ “ชาย ต า บ อ ด ถือโคมไฟ”
ที่ท่านจะได้ อ่ า น ต่อไปนี้ เรื่องมีอยู่ว่า…มีซอยอยู่ที่หนึ่ง ที่มีแต่ความมืด
และ แคบ และไม่มีแสงไฟส่องทางให้ความสว่างแต่มีคนเดินสัญจร
ไปมาเยอะมาก เพราะ เป็นทางลัดที่ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง
ในคืนหนึ่งก็ได้มี พ ร ะ รูปหนึ่งเดิน ผ่ า น เข้ามายังตรอก
เพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดซึ่งในซอยที่มีแต่ความมืดนี้ มืดมากกระทั่ง
นิ้วมือทั้งห้า ยังไม่อาจมองเห็นได้เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พ ร ะ รูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น
และ ถูกผู้อื่นเดินมาชนจน ทุ ก คนเห็นเป็นเรื่องปกติ
แต่สำหรับพ ร ะ แล้วนั้น สร้างความลำบากใจยิ่งนักเพราะ มองไม่ออก
ไม่รู้ว่าเดินชนผู้หญิงไปบ้างไหมในตอนนั้นเองก็ได้มี ชายผู้หนึ่ง ถือโคมไฟ
เดินเข้ามาในซอยแห่งนี้ ทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร
พ ร ะ ได้ยินคนที่เดิน ผ่ า น ไปมาแถวนั้นพูดขึ้นมาว่า…
” คน ต า บ อ ด ผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย “
เมื่อ พ ร ะ ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจรอจนกระทั่งชายผู้นั้น
ถือโคมไฟคนนั้นเดิน ผ่ า น มาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า… ” ขอ อ ภั ย ท่าน ต า บ อ ด จริงๆ หรือ…? “
คนผู้นั้นตอบว่า… ” ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็ พิ ก า ร ตาสองข้างมองไม่เห็น
สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะ ย า ม เช้า สาย บ่าย เย็น ล้วนไม่ต่างกัน
ทั้งยังไม่ทราบว่า แสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร “
พ ร ะ ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า… ” เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร…? “
คน ต า บ อ ด ตอบว่า… ” เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าใน ย า ม กลางคืน
ไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้า คือมองไม่เห็นสิ่งใด
เมื่อครู่ท่านเดิน อ ย่ า ง มืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอา ใช่หรือไม่…? “
” ท่านดู อ ย่ า ง ตัวข้า แม้ข้าเป็นคน ต า บ อ ด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟ ทุ ก อ ย่ า ง
ก็เปลี่ยนไป… ที่ข้าถือโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น
และ เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย “
พ ร ะ ได้ยินความดังนั้นก็บรรลุในธรรม เข้าใจแล้วที่เขาว่า…
” การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้ “
หากเราคิดจะตั้งหน้าตั้งตาเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
โดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างในถนนที่มืดมิด และ มีผู้คนมากมาย
ต่อให้ทางเดินกว้างเท่าใดก็แคบอยู่ดียิ่งใจคุณกว้างเท่าใด… โลกก็กว้างตามคุณเท่านั้น
ชาย ต า บ อ ด ถึงแม้สายตาจะมืดบอด
แต่แสงในโคมไฟยังส่องแสงสว่างให้ผู้คนรอบข้างเสมอ
เห็นลูกโป่งที่มากมายนี้ไหม นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่ง
คุณครูนำลูกโป่งไปโรงเรียน และ ขอให้นักเรียนเป่าให้มัน
ข ย า ย เต็มใบ หลังจากนั้นให้
แต่ละคนเขียนชื่อของพวกเขาบนลูกโป่งของตัวเอง
ต่อจากนั้นให้นักเรียนโยนลูกโป่งทั้งหมดลงไปในโถงทางเดิน
แล้วคุณครูก็กระจายลูกโป่งไปทั่วบริเวณห้อง และ บอก เ ด็ ก ๆ ว่า…
” ให้เวลา 5 นาที เพื่อหาลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเอง “
เ ด็ ก ๆ วิ่งไปรอบๆ มองไปเรื่อยๆ จนกระะทั่งเวลาหมดไป
ไม่มีใครเจอลูกโป่งของตัวเอง…!!
จากนั้นคุณครูเลยบอกให้พวกเขาหยิบลูกโป่งใบที่ใกล้ตัวเองที่สุด
และนำไปให้คนที่มีชื่อบนลูกโป่ง ภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที?
ทุ ก คนก็มีลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองหลังจากจบการเล่นเกมคุณครูก็บอก เ ด็ ก ๆ ว่า….
” ลูกโป่งก็เหมือนสภาพสังคนในปัจจุบัน ถ้า ทุ ก ๆ
คนใส่ใจผู้อื่นบ้างแม้เพียงเล็กน้อย เราจะพบสิ่งที่ตามหาอยู่ได้เร็วขึ้น “
Cr. ขอบคุณข้อคิดและเรื่องราวดีๆจาก : พ ร ะ พุทโธอวโล กิเตศวร , mongkhonrata sukhasavasdi