1. หงุดหงิดแฟนแม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
เมื่อก่อนแฟนทำอะไรก็ดู ‘ดีงาม’ ไปซะหมดท่วงท่าในการเดิน การเขียนหนังสือ การขยับนิ้วมือ
ไปมาของเขา แค่เห็นก็ทรมานใจสุด ๆ อะไรจะหล่อจะเท่ขนาดนี้ แต่ปัจจุบัน…
แค่ได้ยินเ สียงลมหายใจ ฟืดฟาดของเขา ก็หงุดหงิดได้อีก ไปให้พ้น ๆ สายตาได้ไหม
ไม่สิไปให้พ้นจากชีวิตน่าจะดีกว่า(แฟนได้ยินรีบไปผูกคอใต้ต้นถั่วงอกรัว ๆ)
แค่เขาเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เธอ ก็แทบจะสะอิดสะเอียน ผดผื่นคัน จนต้องบอกให้เขา ‘ไปให้ไกล ๆ’
เป็นไปได้ว่าเธอไม่รู้สึกว่าเขา ‘มีเสน่ห์’ อีกต่อไปแล้ว แต่ กลายเป็นสิ่งน่ารำคาญอย่ างหนึ่ง
และนี่แหละจะนำไปสู่การเลิกรา
2. คุยเมื่อไหร่ทะเลาะทุ กที
เมื่อก่อนน่ะเหรอเธออย ากอยู่กับแฟน ‘ตลอดเวลา’ 24 ชั่ วโมง ยังไง ก็ไอเลิฟยู ขอตามติ ด
ไปทั่วทุ กที่ คุยกันได้ทุ กเรื่อง คุยจนหลับแล้วตื่นขึ้นมาคุยอีกก็ไม่เบื่อ ขอให้ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว!
แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรจะคุยด้วยสักนิด ไม่อย ากเล่าอะไรให้ฟังทั้งนั้น แค่ขยับปากยังขี้เกียจเลย!
พอเขาอย ากคุย เธอก็เริ่มหงุดหงิด ถ้าไม่ทำเงียบ ๆ
ก็หาเรื่องพูดให้เขาอ ารมณ์เ สีย ในที่สุดก็ทะเลาะกันจนได้! ถ้าเหตุ การณ์แบบนี้ เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
แปลว่าเธอไม่อย ากมีเขาอยู่ในความสัมพันธ์แล้ว เตรียมรอวันเลิกได้เลย
3. เถียงกันจากเรื่องเล็ก ๆ จนบานปลาย
มันอาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ เช่น ‘วันนี้ใครจะล้างจาน’, ‘วันนี้ใครจะจ่ายค่าไอติม’ แต่ไม่มีใครยอม
อีกฝ่าย จนบานปลายทะเลาะกันใหญ่โต ลามไปถึงลักษณะนิสัยพฤติกร ร มไม่ดี ที่ผ่ านมา
ตั้งแต่ชาติที่แล้ว แล้วสรุปด้วยคำว่า ‘เป็นอย่ างนี้ไงถึงอย ากเลิก!’ บางคู่อาจเก็บอ ารมณ์ ถ้าอยู่นอก
สถานที่แต่พออยู่ในบ้านเท่านั้นแหละ ใส่ไม่ยั้ง! ทั้งตะโกนกรีดร้อง
เขวี้ยงปาข้าวของ ร้องไห้เ สียงดัง จนข้างบ้านคิดว่ามีการฆ าต ก รร ม ตอนนี้การทะเลาะห่างจาก
ประเด็นหลักไปไกลแล้ว ถ้าอย ากให้จบ เธอต้องเลือกระหว่าง ‘ขอโ ทษ’ หรือ ‘ทำเงียบแล้วปล่อยไป’
แต่ถ้าอย ากเลิก ก็ทำตรงกันข้ามเท่านั้นเอง!
4. ใช้เวลาห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากที่เคยตัวติ ดกัน เป็นตังเมก็เริ่มมีปัญหาชีวิต ภาระหน้าที่ วิถีชีวิต ไม่ตรงกัน ทำให้ใช้เวลาห่างกัน
บ่อยขึ้น เรื่อย ๆ อันที่จริงห่างกันบ้างเป็นเรื่องดี เพราะทำให้แต่ละฝ่ายได้ใช้ชีวิตของตัวเอง เว้นระยะ
ให้คิดถึงกันบ้าง แต่ถ้าในใจของเธอ กลับไม่อย ากเห็น อย ากคุยกับแฟนติ ดต่อกันนาน ๆ
เป็นไปได้ว่า เธอสบายใจกว่า ถ้าเขาไม่มายุ่งกับเธอค่ะ! วิ ธีสังเกตตัวเองง่าย ๆ คือ ถ้าเธอรู้สึกว่าการ
นัดเจอ นัดเดท กับแฟนเป็น ‘หน้าที่’ ที่ต้องทำ ไม่ใช่สิ่งที่ทำตามความรู้สึก หรือหัวใจแปลว่าเธอกำลัง
เบื่อและอาจ ไปหาคนใหม่ที่ตื่นเต้นกว่าได้ทุ กเมื่อถ้ายังไม่อย ากปล่อยมือแฟนก็ต้องจับเข่าคุยกันแล้วล่ะ
ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอเบื่อ คืออะไรแล้วแก้ไขมันซะ!
5. อยู่ห่างแฟนแล้วรู้สึกสบายใจกว่า
เธอเริ่มมีความรู้สึกว่า เธอต้องใส่ ‘หน้ากาก’ ยิ้มแย้มสดใสร่าเริงตลอดเวลา ที่อยู่กับแฟน เพราะต้องคอยซ่อน
ความรู้สึกจริง ๆ เอาไว้นั่นเอง เธอไม่อย ากทะเลาะมีเรื่อง หรือปิดบังความลับ บางอย่ างไว้ อันที่จริงอยู่กับคน
แปลกหน้า อาจสบายใจกว่าด้วยซ้ำ!
จำไว้ว่าอย ากมีเวลาส่วนตัวกับเพื่อนกับอย ากอยู่เป็นโสดนั้น ต่างกัน คนเราต้องมีระยะห่างบ้าง เป็นเรื่องปกติ
แต่ในที่สุดก็กลับมาหาแฟน แต่ถ้าอย ากอยู่เป็นโสดคือเธอไม่มีเขาในหัวใจ
อีกแล้วอย ากตัดข าดว่าอย่ างนั้นเถอะ! ถ้าเริ่มอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ แปลว่าเธอไม่อย ากใช้สถานะ ‘แฟน’
กับเขาแล้วล่ะค่ะ
6. คิดถึงแต่ด้านลบของแฟนเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แทนที่จะคิดถึง อย ากให้เขามาอยู่ด้วย ตอนที่ห่างกัน เธอกลับคิดถึงมุมแ ย่ ๆ แง่ร้า ย แง่ลบ สิ่งน่ารำคาญทุ ก
เรื่องที่แฟนหนุ่มทำ ถ้าเวลาเดียวที่เธอเลิกคิดเรื่องแ ย่ ๆ คือตอนเขาเอาใจเธอ แปลว่าเธอเห็นค่าของแฟน
แค่ตอนที่เขาทำดีกับเธอแค่นั้นเอง มีคำหนึ่งกล่าวว่า ‘ถ้าเธออย ากรู้ว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหนคนแรกที่เธอนึก
ถึงก็คนนั้นแหละ’ และถ้าในห้วงคำนึงนั้น ไม่มีแฟนหนุ่มของตัวเองอยู่เลย ไม่ว่าจะรู้ตัว หรือไม่ เธอไม่ได้รัก
เขาอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ
7. เธอเอาแต่คิดว่า “ถ้าฉันโสดจะเป็นยังไง”
“ถ้าฉันโสดจะเป็นยังไง ฉันจะเรียนได้เกรดดีมากขึ้นไหม ทำงานแล้วได้เลื่อนขั้นสูงขึ้นหรือเปล่า หรืออาจจะมีเวลา
ทำงานอดิเรกที่ชอบมากขึ้นแล้วถ้าฉันเปลี่ยนแฟนล่ะ จะมีความสุขมากขึ้นหรือเปล่านะ”
ถ้าเธอมีความคิดแบบนี้วนเวียนในสม อง จากนาน ๆ ทีกลับบ่อยครั้งขึ้น เรื่อย ๆ แปลว่าเธออย ากมีชีวิตใหม่
และแน่นอนไม่มีแฟนของเธอรวมอยู่ในนั้นด้วยอีกต่อไปแล้ว
8. เริ่มวิพากษ์วิจารณ์หาข้อเ สียของแฟนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เจอแฟนทีไร ขอให้ได้บ่นว่า ขุดคุ้ยวิพากษ์วิจารณ์ ข้อเสี ยต่าง ๆ นานา ‘เธอน่าจะทำได้ดีกว่านี้’,
‘ทำไมหาเงิ นได้แค่นี้เองล่ะ’ อ ย ากให้เขาหล่อขึ้นมีชื่อเ สียงมากขึ้น ร วยขึ้น มีความคิดมากขึ้น
เพราะตอนนี้มองยังไงก็ไม่ได้ดั่งใจเธอสักอย่ าง มาตรฐานต่ำกว่าเกณฑ์สุด ๆ
ถ้าเธอเป็นแบบนี้แปลว่าเธอไม่ได้มองเขา
ในฐานะ ‘คนรัก’ แล้วแต่มองในฐานะ ‘สินค้าที่ต้องปรับปรุง’ ผู้ชายที่โดนพูดกรอกหูว่า ตัวเองต่ำต้อยซ้ำแล้ว
ซ้ำเล่า นานวันความอดทนก็จะหมดลง เขาจะเริ่มไม่พอใจ และหันมาวิจารณ์เธอบ้าง ในที่สุดก็ทะเลาะและเลิกราค่ะ
9. เธอกับแฟนไม่รู้สึกสนิทกันอีกต่อไปแล้ว
เมื่อแรกคบ ก็ตัวติ ดกันตลอด ปล่อยมือกันเกินสองนาทีไม่ได้ ต้องจับมือกันเดิน ไปนั่นนี่ตลอด แต่ตอนนี้อย่ า
มาจับนะ ร้อนเปื้อนเหงื่อ! สำหรับคู่แต่งงาน ก็ละเลยเ รื่ อ ง บ น เ ตี ย ง ไปโดยปริย าย
เพราะรู้สึกกระดากและแปลก ๆ ที่ต้องมาสัมผัสร่ างกายกัน ก็แค่หอมแก้มกอดยังไม่อย ากทำเลยนี่นา
อาการแบบนี้อธิบายได้สั้น ๆ ว่า “ไม่รู้สึกสนิทสนมด้วยแล้ว” ไม่มีอ ารมณ์จะทำอะไรน่ารักมุ้งมิ้งด้วยกันอีกต่อ
ไปแค่จะยื่นมือไปสัมผัส ก็รังเกียจถ้าเธอกำลังเจอเหตุ การณ์นี้ รีบหาต้นตอ
และแก้ไขโดยด่วน ก่อนจะสายเกินไปค่ะ!
10. เริ่มคิดถึง ‘การเลิกรา’
‘ห่างกันสักพัก’ อาจช่วยให้ความสัมพันธ์ที่คลอนแคลนดีขึ้น เพราะได้เวลากลับไปคิดทบทวน สิ่งที่ผ่ านมา
และอาจกลับมาเข้าใจกันอีกครั้งแต่มันก็คือด าบสองคม ถ้าไม่กลับมาคืนดี แล้วรักกันมากกว่าเดิม ก็เลิกกันไปเลย!
ซึ่งคู่รักหลายคู่ ก็ใช้เหตุผลนี้เป็นการบอกเลิกอย่ างเนียน ๆ นั่นแหละค่ะ ลองสังเกตตัวเองว่า เมื่อใช้สถานะ
‘ห่าง’ กับแฟนแล้วรู้สึกมีความสุขเป็นอิสระมากขึ้นไหม ถ้าใช่ก็ส่อสัญญาณกลาย ๆ ว่าต่อไปต้องเลิกกันแน่นอน
11. ขุดความผิดของแฟนมาพูดซ้ำ ๆ ในการทะเลาะทุ กครั้ง
นี่ถือเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย! เวลาทะเลาะต้องคอยขุดความผิดของแฟนมาพูดซ้ำซาก บางอย่ างจบไปตั้งนานแล้ว
แต่ ก็ยังไม่ยอมลืม ขอให้ได้พูดได้เถียงแล้วชนะ เธอก็สะใจแล้ว
แต่ไม่สนใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม แม้แต่นิดเดียวเธออาจรู้สึกดี แต่ฝ่ายตรงข้าม จะถูกย้ำเตื อนเสมอว่า
ไม่ว่าจะขอโ ทษในความผิด ที่ทำสักแค่ไหน เธอก็ไม่เคยให้อภั ยเขาเลย! แสดงถึงนิสัยยึดติ ด
และอาฆ าตมาดร้า ยแน่ล่ะ ไม่มีใครชอบผู้หญิงแบบนี้หรอก
ขอบคุณที่มา : smileroyyim